Sunday, 26 March 2023

เส้นทางประท้วงใหญ่ในจีน ความไม่พอใจที่ลุกลามเป็นการขับไล่ “สี จิ้นผิง”

ประท้วงในจีน นโยบายปราศจากโควิดเป็นเหตุ ไล่เรียงที่มาการต่อต้านในจีน ที่มีเป้าหมายเพื่อเฉดหัวไล่ “สี จิ้นผิง”

“จีน” กับ “การต่อต้าน” ดูเหมือนจะเป็น 2 คำที่ไม่น่าจะอยู่ด้วยกันได้ ด้วยลักษณะการปกครองของจีนที่ค่อนข้างจะเอาจริงเอาจังให้ประชาชนอยู่ใต้กฎที่ต้องปฏิบัติ จนประชาชนไม่กล้าหือกับทางการ

แต่ ในช่วงสุดสัปดาห์ก่อนหน้านี้ ทั้งโลกได้มองเห็นในสิ่งที่พวกเขาไม่คิดว่าจะได้มองเห็น นั่นคือการต่อต้านในหลายพื้นที่ทั้งประเทศจีน และก็รุนแรงถึงขั้นมีการเรียกร้องให้ผู้นำจีน สี จิ้นผิง ออกมาจากตำแหน่ง ซึ่งเกิดเรื่องที่เขาไม่เคยพบมาก่อนตลอดระยะเวลาที่ดูแลประเทศ 10 ปี

หลายคนบางทีอาจสงสัยว่า เรื่องราวในประเทศจีนดำเนินมาถึงจุดนี้ได้เช่นไร นิวมีเดีย พีพีทีวี ได้ไล่ลำดับเหตุการณ์สำคัญที่เอามาสู่การต่อต้านใหญ่ครั้งนี้

เรื่องราวทั้งหมดจำต้องย้อนไปตั้งแต่ปี 2019 ซึ่งเจอการระบาดของ “ไวรัสโรคปอดปัญหา” ในเมืองอู่ฮั่น บริเวณหูเป่ย์ เป็นที่แรกในโลก และก็เมื่อองค์การอนามัยโลก (WHO) ประกาศให้มันเป็นโรคระบาดใหญ่ (Pandemic) ด้วยชื่อสากลว่า “โควิด-19” ทางการจีนก็ตกลงใจที่จะใช้มาตรการ “ล็อกดาวน์ (Lockdown)” เมืองอู่ฮั่นเป็นที่แรก

ประท้วงในจีน โควิด ล็อกดาวน์

ประท้วงในจีน มาตรการล็อกดาวน์คือการสั่งปิดเมือง

ห้ามคนเข้าออก และก็ห้ามไม่ให้ประชาชนออกมาจากบ้านโดยไม่จำเป็น กระนั้นโควิด-19 ก็ยังคงเล็ดรอดและก็แพร่ระบาดในหลายพื้นที่ของจีนอยู่ดี เป็นต้นว่า กรุงปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ ซินเจียง ฯลฯ

ทางการจีนก็เลยประกาศนโยบาย “Zero COVID” หรือโควิดเป็นศูนย์ ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อควบคุมและก็ลดการระบาดของโควิด-19 ในระดับที่จำต้องไม่เจอผู้ติดเชื้อโรคในประเทศเลย ผ่านมาตรการล็อกดาวน์และก็กฎที่ต้องปฏิบัติที่เอาจริงเอาจังต่างๆ

แต่ การล็อกดาวน์ที่นานเกินไปเริ่มทำให้เกิดผลกระทบต่อชีวิตของคนเรา รวมถึงต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ ความไม่พึงพอใจเริ่มก่อตัว ซึ่งประชาชนก็เลือกที่จะระบายความไม่พึงพอใจผ่านสื่อเครือข่ายสังคมภายในประเทศ เป็นต้นว่า เวยปั๋ว

กลับเปลี่ยนเป็นว่า ข้อมูลหรือเนื้อหาที่เกี่ยวกับความไม่พึงพอใจที่ประชาชนมีต่อนโยบายโควิดเป็นศูนย์ หรือการบอกกล่าวเรื่องราวและก็ผลกระทบด้านลบของการล็อกดาวน์ เป็นต้นว่า การขาดแคลนของกิน การไม่อาจจะดำเนินงานได้ กลับถูก “เซ็นเซอร์” และก็ถูกลบออกจากเครือข่ายสังคมทั้งหมด

ความไม่พึงพอใจเริ่มรุนแรงขึ้น เมื่อโรงหมอชั่วคราวหรือสถานที่กักกันผู้ติดเชื้อโรคบางส่วนมีสภาพที่ตกอับ และก็เกิดการบังคับกักตัวอย่างไม่ถูกกฎหมายด้วยการใช้ความรุนแรง

จนถึงในเดือน พฤศจิกายน 2021 โลกเจอการระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน (Omicron) และก็เปลี่ยนภัยรุกรามใหม่ต่อนโยบายโควิดเป็นศูนย์ของจีน เมื่อมันสามารถหลุดรอดเข้ามาได้ในช่วงช่วงกลางเดือน ธ.ค. 2021 และก็แพร่ระบาดเป็นวงกว้าง โดยยิ่งไปกว่านั้นในเซี่ยงไฮ้

ประชาชนจีนคิดว่า การหลุดรอดเข้ามาของโอมิครอนเป็นสิ่งชี้นำว่า นโยบาย Zero COVID และก็มาตรการล็อกดาวน์เป็นสิ่งที่ไม่มีความสามารถ ไร้ผล และก็มีแม้กระนั้นจะสร้างผลกระทบในทางร้ายต่อเศรษฐกิจจีนและก็การดำรงชีวิตของประชาชน ทำให้ความเชื่อมั่นในทางการจีนของประชาชนต่ำลงไปเรื่อยๆ

นอกเหนือจากนี้ เซี่ยงไฮ้ถูกล็อกดาวน์ภายใต้มาตรการที่เอาจริงเอาจัง ทำให้ประชาชนขาดแคลนของกินและก็ยา ช่วงเวลาที่กฎสำคัญของการล็อกดาวน์เซี่ยงไฮ้อย่าง “การแยกคนที่ติดเชื้อโรคออกมาจากคนที่ไม่ติดเชื้อโรค” ก็ทำให้มีการพรากลูกไปจากบิดามารดาโดยไม่ยินยอม ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีการฆ่าหมาทิ้ง ถ้าหากเจ้าของติดโควิด-19 ซึ่งจีนกล่าวถึงว่าเพื่อคุ้มครองปกป้องการกระจายเชื้อ ทั้งๆที่ไม่มีหลักฐานชัดเจนว่า หมาสามารถแพร่โควิด-19 มาสู่คนได้หรือเปล่า

หรือเมื่อครั้งเกิดเหตุแผ่นดินไหวบริเวณเสฉวนช่วงต้นเดือน ก.ย. ประชาชนก็วิพากษ์วิจารณ์ทางการจีน เพราะเหตุว่ามีการสั่งห้ามไม่ให้ประชาชนอพยพหรือหนีออกมาจากตึก เพราะยังมีการ “ล็อกดาวน์” คุ้มครองปกป้องโควิด-19 อยู่

เหตุการณ์เหล่านี้ทำให้ความไม่พึงพอใจของประชาชนถูกสุมไปเรื่อยและก็เกิดการปะทุระลอกเล็กในช่วงปลายเดือน เดือนตุลาคม ที่มีการต่อต้านในช่วงที่มีการประชุมพรรคคอมมิวนิสต์จีน ซึ่งถือเป็นการปรากฏที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

ในช่วงเวลาเดียวกัน ยังเจอผู้ติดเชื้อโรคในโรงงานของ ฟ็อกซ์คอนน์ (Foxconn) ฐานผลิตไอโฟนรายใหญ่ในเมืองเจิ้งโจว จนจำต้องล็อกดาวน์บุคลากรกว่า 200,000 คนเอาไว้ภายในเขตโรงงาน แม้กระนั้นในวันที่มีการประกาศล็อกดาวน์ ปรากฏภาพแรงงานเป็นจำนวนมาก “แห่หนีตาย” ออกมาจากโรงงาน เพราะเหตุว่าไม่ต้องการที่จะอยากถูกกักตัว

ประท้วงในจีน Zero Covid สีจิ้นผิง

การล็อกดาวน์เสมือนจะเรียบร้อยด้วยดี

แม้กระนั้นบุคลากรหลายร้อยคนกลับออกมาต่อต้าน ประท้วงในจีน ทำลายของใช้และก็กล้องวงจรปิด บางส่วนเถียงและก็ปะทะกับเจ้าหน้าที่ จนจะต้องมีการใช้แก๊สน้ำตา

บุคลากรกล่าวว่า พวกเขาได้รับการกระทำที่ไม่ดี ของกินที่จัดไว้ไม่เพียงพอ บุคลากรใหม่หลายคนไม่ได้โบนัสพิเศษอย่างที่บริษัทข้อตกลงไว้ และก็หลายคนเริ่มกังวลว่าโควิดจะระบาดขยาย

จนถึงในช่วงช่วงกลางเดือน พฤศจิกายน ก่อนหน้านี้ เริ่มมีสัญญาณบอกว่าทางการจีนกำลังจะยอมบรรเทามาตรการ ทำให้ชาวจีนพอจะมีความหวังได้บ้างว่าจะหลุดพ้นจากความเข้มงวดนี้เสียรู้ พร้อมทั้งเริ่มมีการต่อต้านอย่างเป็นทางการหนแรกในกว่างโจวช่วงวันที่ 15 พฤศจิกายน

แม้กระนั้นเมื่อเริ่มมีการบรรเทามาตรการบางส่วน จีนกลับรายงานเจอผู้ติดเชื้อโรคทะลุ 30,000 รายตั้งแต่ช่วงวันที่ 23 พฤศจิกายน มากที่สุดนับตั้งแต่มีการระบาดของโควิด-19 ในจีน จนมีการประกาศเข้มมาตรการอีกครั้ง

จุดเปลี่ยนที่ทำให้ชาวจีนระเบิดความไม่พึงพอใจออกมา คือเหตุเพลิงไหม้อะพาร์ตเมนต์แห่งหนึ่งในเมือง “อูหลู่มู่ฉี” ของเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ ซึ่งมีผู้เสียชีวิต 10 ราย

ที่ความไม่พึงพอใจปะทุออกมาก็ต่อเนื่องมาจากนักผจญเพลิงไม่อาจจะฉีดน้ำเข้าไปดับไฟในตึกได้ เพราะเหตุว่ามี “แบร์ริเออร์” กั้นเขตล็อกดาวน์ และก็รถราของผู้อาศัยในอะพาร์ตเมนต์กีดขวางอยู่

ความไม่พึงพอใจทั้งหมดที่ประชาชนชาวจีนสั่งสมมาเกือบ 3 ปีจึงระเบิดออก เปลี่ยนเป็นการต่อต้านใหญ่ในหลายเมืองทั้งประเทศจีน โดยคำเรียกร้องของกลุ่มคนประท้วงคือ อยากให้มีการยกเลิกนโยบายปราศจากโควิด เรียกร้องเสรีภาพสำหรับในการแสดงออก เรียกร้องให้ สี จิ้นผิง ลาออก และก็เรียกร้องให้มีการยุบพรรคคอมมิวนิสต์จีน

ยังไม่มีผู้ใดสามารถประเมินได้ว่า ความวุ่นวายภายในประเทศจีนครั้งนี้จะขยายตัวหรือรุนแรงขึ้นหรือเปล่า แม้กระนั้นนี่ถือเป็นบทเรียนสำคัญของจีนเลยว่า การไม่รับฟังเสียงของประชาชนนั้น จะมีผลตามมาเช่นไร จากความไม่พึงพอใจที่เป็นเสมือนแค่ไฟที่ปลายไม้ขีดเล็กๆกลับขยายบานปลายเปลี่ยนเป็นความโกรธเคืองที่รุนแรงระดับกองเพลิงกองย่อมๆ